


ในโลกธุรกิจที่ทุกอย่างคือต้นทุน การเลือกใช้พลังงานที่เหมาะสมและคุ้มค่า ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่ง “ก๊าซ LPG” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ก๊าซหุงต้ม” คือหนึ่งในพลังงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไม่ใช่แค่ตามบ้านเรือน แต่ยังเป็นพลังงานหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจใหญ่อย่างโรงแรม, ร้านอาหาร, โรงพยาบาล ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม
วันนี้ DeeChoice Group จะพาคุณมาทำความรู้จักว่า แก๊ส LPG คืออะไร? สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมไหนได้บ้าง? มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง LPG และ NGV

LPG คือคำย่อของ Liquefied Petroleum Gas หรือ “ก๊าซปิโตรเลียมเหลว” ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ มีส่วนประกอบหลักคือโพรเพนและบิวเทน โดยปกติแล้ว LPG จะมีสถานะเป็นก๊าซ แต่สามารถถูกอัดให้อยู่ในรูปของเหลวภายใต้แรงดันเพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บและขนส่ง จุดเด่นสำคัญคือเป็นพลังงานที่ให้ค่าความร้อนสูง เผาไหม้สะอาด และใช้งานได้หลากหลาย
LPG เป็นก๊าซที่ให้พลังงานสูงและควบคุมง่าย ทำให้ LPG กลายเป็นพลังงานทางเลือกสำคัญที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐานในบ้านพักอาศัย ไปจนถึงการเป็นกลไกสำคัญในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
ก๊าซ LPG มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในภาคครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในการประกอบอาหาร การนำไปใช้กับเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส เพราะก๊าซ LPG สามารถให้ความร้อนได้รวดเร็ว สม่ำเสมอ และควบคุมง่าย ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ในภาคธุรกิจ LPG คือพลังงานที่ขาดไม่ได้สำหรับห้องครัวของร้านอาหาร โรงแรม หรือศูนย์อาหารที่ต้องใช้ความร้อนปริมาณมหาศาล ส่วนในภาคอุตสาหกรรมนั้น LPG ถูกใช้ในกระบวนการผลิตที่ต้องการความร้อนสูงและคงที่ เช่น การอบสี, การหลอมโลหะ, การผลิตแก้วและเซรามิก รวมถึงการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหม้อไอน้ำ (Boiler) เพื่อผลิตไอน้ำไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ
LPG ยังถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับรถยนต์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Autogas” ซึ่งได้รับความนิยมเนื่องจากมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซลอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังเป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ค่อนข้างสมบูรณ์ ทำให้มีการปล่อยมลพิษสู่อากาศน้อยกว่า จัดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับพลังงานสะอาดในภาคการขนส่ง

การจะใช้งาน LPG ในสถานประกอบการให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดนั้น การเลือกระบบติดตั้งให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งานและลักษณะของธุรกิจถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการดำเนินงาน แต่ยังเกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยและข้อกฎหมายโดยตรง ซึ่งสำหรับภาคธุรกิจจะมีรูปแบบการติดตั้งหลัก ๆ อยู่ 3 ประเภท
ระบบนี้คือการนำถังแก๊ส หลาย ๆ ถังมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านชุดท่อร่วม (Manifold) โดยใช้ไอก๊าซจากถังก๊าซโดยตรง เพื่อจ่ายแก๊สเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เช่น ร้านอาหาร, โรงแรมขนาดเล็ก หรือโรงงานขนาดย่อม ที่มีการใช้แก๊สในปริมาณไม่สูงมากนัก มีข้อดีคือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงและมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดจำนวนถัง
“LWD” เป็นระบบที่ดึงแก๊ส LPG ในสถานะของเหลว ( Liquid ) ออกจากถังแก๊สโดยตรง จากนั้นจะส่งไปยัง “หม้อต้ม แก๊ส” หรือ Vaporizer เพื่อเปลี่ยนสถานะแก๊สเหลวให้กลายเป็นแก๊ส (Vapor) ก่อนส่งไปใช้งาน ระบบดังกล่าวสามารถควบคุมอัตราการจ่ายแก๊สได้แม่นยำกว่าและรองรับการใช้งานที่หนักหน่วงได้ดีกว่า
สำหรับธุรกิจที่ต้องใช้แก๊สในปริมาณมากและต่อเนื่อง เช่น โรงแรมขนาดใหญ่, โรงพยาบาล หรือโรงงานอุตสาหกรรม ระบบถัง Bulk LPG คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ระบบนี้เป็นการติดตั้งถังเก็บแก๊สขนาดใหญ่ไว้ในพื้นที่ที่ปลอดภัย ทำให้สามารถสำรองแก๊สได้ในปริมาณมาก ช่วยให้การจ่ายพลังงานมีความเสถียร ไม่สะดุด และยังช่วยลดต้นทุนราคาต่อหน่วยของเนื้อแก๊สได้อีกด้วย

NGV ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicles หรือ “แก๊สธรรมชาติสำหรับยานยนต์” เป็นเชื้อเพลิงอีกชนิดหนึ่งที่ได้มาจากแหล่งแก๊สธรรมชาติใต้ดินโดยตรง โดยมีส่วนประกอบหลักคือแก๊สมีเทน (Methane) ซึ่งมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ในการนำมาใช้งาน จะต้องถูกอัดด้วยแรงดันสูงมาก (ประมาณ 200 บาร์) และจัดเก็บในถังที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ทำให้ NGV มักถูกใช้ในยานยนต์ขนาดใหญ่หรือรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ
แม้ว่าทั้ง LPG และ NGV จะเป็นเชื้อเพลิงในรูปแบบแก๊สเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ ตั้งแต่แหล่งที่มา โดย LPG เป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันหรือแยกแก๊สธรรมชาติ ในขณะที่ NGV คือแก๊สธรรมชาติเอง, ส่วนประกอบหลักที่แตกต่างกัน (LPG คือโพรเพนและบิวเทน ส่วน NGV คือมีเทน), ไปจนถึงวิธีการจัดเก็บที่ LPG ถูกอัดเป็นของเหลวได้ง่ายกว่าภายใต้แรงดันที่ไม่สูงมากนัก ทำให้การจัดการและการติดตั้งระบบสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีความยืดหยุ่นกว่า NGV อย่างเห็นได้ชัด
| คุณสมบัติ | LPG (ก๊าซปิโตรเลียมเหลว) | NGV (ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์) |
| ส่วนประกอบหลัก | โพรเพน และ บิวเทน | มีเทน |
| สถานะการจัดเก็บ | ของเหลว (ในถังแรงดันไม่สูง) | ก๊าซ (ในถังแรงดันสูงมาก) |
| ที่มา | โรงกลั่นน้ำมัน/โรงแยกก๊าซฯ | แหล่งก๊าซธรรมชาติ |
| ความหนาแน่น | หนักกว่าอากาศ (รั่วแล้วจะกองที่พื้น) | เบากว่าอากาศ (รั่วแล้วจะลอยขึ้นไป) |
| ค่าความร้อน | สูงกว่า | ต่ำกว่า |
การตัดสินใจเลือกใช้ LPG เป็นพลังงานหลักสำหรับธุรกิจนั้น จำเป็นต้องพิจารณาทั้งข้อดีที่จะได้รับและความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานชนิดนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด การทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดจะช่วยให้คุณวางแผนการติดตั้งและใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับองค์กรของคุณ
LPG มีข้อได้เปรียบที่น่าสนใจหลายประการ ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม การใช้งาน LPG ก็มาพร้อมกับข้อควรระวังที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย

ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าจะไร้ความหมายหากปราศจากความปลอดภัย การติดตั้งและใช้งานระบบแก๊ส LPG ในสถานประกอบการนั้นมีมาตรฐานและข้อกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจในหลักการพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าธุรกิจของตนดำเนินอยู่บนรากฐานที่ปลอดภัยสูงสุด
หัวใจสำคัญของการติดตั้งคือ “ตำแหน่ง” และ “การระบายอากาศ” ถังแก๊สจะต้องถูกจัดวางในพื้นที่เปิดโล่ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก อยู่บนพื้นที่แข็งแรงมั่นคง และที่สำคัญคือต้องมีระยะห่างที่ปลอดภัยจากอาคาร, แหล่งกำเนิดประกายไฟ, และแนวเขตที่ดิน ตามที่มาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงานกำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสะสมของแก๊สในกรณีที่เกิดการรั่วไหลและลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย
ระบบแก๊สที่ดีต้องมีอุปกรณ์นิรภัยที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม เริ่มจาก อุปกรณ์ตรวจจับแก๊สรั่ว (Gas Detector) ที่ติดตั้งในจุดเสี่ยง เมื่อตรวจพบการรั่วไหลจะส่งสัญญาณไปที่ วาล์วตัดแก๊สอัตโนมัติ (Automatic Shut-off Valve) ให้ทำการปิดระบบจ่ายแก๊สทันที นอกจากนี้ยังต้องมีวาล์วนิรภัยที่ถังและถังดับเพลิงเคมีแห้งในขนาดและจำนวนที่เหมาะสม เพื่อเป็นปราการด่านสุดท้ายในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน
การตรวจสอบระบบแก๊สประจำปีเปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพที่จำเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลแรกคือเป็น ข้อบังคับทางกฎหมาย สำหรับสถานประกอบการที่เข้าข่าย และเหตุผลที่สองซึ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ เพื่อความปลอดภัย การตรวจสอบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจะช่วยค้นหาจุดเสื่อมสภาพที่อาจมองไม่เห็น เช่น ปะเก็นที่หมดอายุ หรือรอยรั่วซึมเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
โดยสรุปแล้ว LPG คือพลังงานอเนกประสงค์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมยุคใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การจะดึงศักยภาพสูงสุดของ LPG มาใช้ให้เกิดประโยชน์นั้น จำเป็นต้องอาศัยการออกแบบ วางระบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาโดยทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์และยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบแก๊ส และการติดตั้งท่อแก๊สในโรงงาน DeeChoice Group มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ใช้สินค้าที่มีคุณภาพสูงและตรงตามมาตรฐานกรมธุรกิจพลังงาน อีกทั้งเรายังพร้อมให้บริการด้วยใจ เพราะมาตรฐานและความปลอดภัย คือหัวใจสำคัญที่ DeeChoice Group ยึดมั่น สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้
ต้องขออนุญาต หากปริมาณการเก็บหรือใช้งาน LPG เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (เช่น เกิน 250 ลิตร) จำเป็นต้องยื่นขอใบอนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงาน
จำเป็นอย่างยิ่งและเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย เพื่อรับรองความปลอดภัยของระบบ ป้องกันความเสี่ยง และสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ
โดยทั่วไปถังแก๊สมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี และต้องผ่านการตรวจสอบและทดสอบซ้ำตามวาระที่กฎหมายกำหนดอย่างสม่ำเสมอ
ให้รีบปิดวาล์วที่หัวถังแก๊สทันที จากนั้นเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และห้ามทำให้เกิดประกายไฟเด็ดขาด แล้วรีบติดต่อช่างผู้ชำนาญการโดยด่วน